วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กลุ่มพันธุ์ฮาวนด์Hound Group อิ็อตเตอร์ฮาวนด์Otterhound



อ็อตเตอร์ฮาวนด์ Otterhound

ดูแล้วก็เหมือนกับพันธุ์บลัดฮาวนด์ที่สวมขนแกะ มีขนที่ยุ่งยิ่งไปต้ังแต่บนหัวจนจรดหาง ลูกตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าตา และจมูกบานก็โผล่ออกมาระหว่างหนวดกับเคราที่รุ่มร่าม
พันธุ์นี้มีอยู่น้อยในอเมริกา แต่ฮาวนด์พันธุ์นี้แหละที่ไล่กวดตัวนากตามลุ่มนำ้ลำธารที่มีปลาชุกชุม ไม่มีใครสืบสาวรู้ต้นกำเนิดของพันธุ์นี้แน่นอน รู้กันคร่าวๆ เพียงว่านอกจากสายเลือดบลัดฮาวนด์แล้ว ก็ยังมี เซาเทิร์นฮาวนด์ เวลช์ ฮารีเออร์ วอเตอร์สแปเนียล และเวนดีลฮาวนด์ ผสมอยู่ในสายเลือดอย่างละนิดละหน่อย
อ็อตเตอร์ฮาวนด์เหมาะที่สุดสำหรับที่จะฝ่าความหนาว ลุยนำ้ หรือทรหดในกีฬาที่เอามาตั้งชื่อของมันคือ ลำตัวนาก เท้่าที่มีพังผืดระหว่างนิ้วช่วยให้ว่ายน้ำได้แข็ง ขนที่ชุ่มนำ้มันอยู่ในขนชั้นในนั้นทำให้ตัวอุ่น จมูกไวก็ดมไปเรื่อ
ยๆ ตามฝั่งลำธารในยามรุ่ง เสาะหากลิ่นที่พวกนากทิ้งเอาไว้ยามคำ่คืน พอจับกลิ่นได้เมื่อใด เสียงอันทุ่มตำ่ของมันก็บรรเลง เตือนให้นักล่าที่เดินตามมาได้รู้
ล่ากันครั้งหนึ่งๆ บางทีไกลถึง 23 ไมล์ และกินเวลาถึง 10 ชั่งโมง ในศตวรรษที่ 19 มีหมาพันธุ์อ็อตเตอร์ฮาวนด์ล่านาก
อยู่
ตามลำธารตามคลองในอังกฤษกว่า 20 ฝูง พวกนักล่าที่ชอบทางนี้มักจะเลือกเอาการล่านากมาแทนล่าหมาจิ้งจอก ตอนที่หมดฤดูล่าหมาแล้ว ในทุกวันนี้ หมาฟ็อกซ์ฮาวนด์ และหมาพันธุ์ผสมก็เข้ามาร่วมอยู่ในฝูงหมาล่านากกับเขาด้วย
อ็อตเตอร์ฮาวนด์นี้มีสีต่างๆกันไป นับแต่สีฟ้าและสีขาวไปจนถึงแบล็กแอนด์แทน และร่าเริงแจ่มใสในยามที่ลุยนำ้บรรเลงเพลงหมาไปเรื่อย ตามลำธารอันเร้นลับที่เย็นยะเยือก ถ้าเลี้ยงไว้ในบ้านจะเป็นหมาที่รักเด็กเป็นเพื่อนเด็กที่วิเศษสุดทีเดียวเชียว

สูงเพียงไหล่ 24-26 นิ้ว นำ้หนักประมาณ 65 ปอนด์



วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อเมริกัน ฟ็อกซ์ฮาวนด์ American Fox Hound



กลุ่มพันธุ์ฮาวนด์ อเมริกัน ฟอกซ์ ฮาวนด์Hound Group American Fox Hound

ขาของหมาพันธุ์นี้เรียวๆ กว่า และตัวเบากว่าอิงลิช ฟ็อกซ์ฮาวนด์ เดอ โซโต ได้นำฮาวนด์ตัวแรกเข้ามายังโลกใหม่เพื่อแกะรอยพวกอินเดียแดง ในปี1650 โรเบิร์ต บรุก ตั้งถิ่นฐานลงในแมรีแลนด์พร้อมด้วยฟ็อกซ์ฮาวนด์ทั้งฝูง ยอร์จ วอชิงตัน นำหมาพันธุ์อังกฤษมาเลี้ยงไว้เมื่อปี 1770 และได้รับของขวัญเป็นหมาล่ากวางพันธุ์ฝรั่งเศสที่มีหูยาวจาก นายพล ลาฟาเเย็ด เมื่อปี 1785 หมาสองพันธุ์ก็เลยผสมกัน และอาจเป็นบรรพสุนัขของอเมริกันฟอกซ์ฮาวนด์ในทุกวันนี้ ชาวแมรีแลนด์และชาวเวอร์จิเนียที่ขี่ม้าได้เก่งแต่ไม่ค่อยชอบแบบฉบับการล่าของอังกฤษยามเมื่อควบตามฝูงหมา พอนักล่าเห็นตัวเหยื่อ ก็มักแหกปากร้องลั่นไปทั้งท้องทุ่ง อาจเป็นต้นกำเนิดของเสียงร้อ
งโห่ยามเมื่อทหารฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ประจัญบานกันในยุคสงครามกลางเมืองนั้นเอง
นักควบอาชาที่กวดหมาจิ้งจอกไปตามทุ่งในฟิลาเดลเฟียที่เพิ่งตั้งเมืองใหม่ตลอดจนในไร่ของแมนฮัตตันตอนบน หรือการล่าหมาในบรุกลินนั้นเพิ่งมาสั่งห้ามกันเมื่อไม่ถึง100 ปีมานี้เอง
กีฬาดังกล่าวเป็นแบบฉบับของการล่าหมาจิ้งจอกในรูปแบบต่างๆ แล้วแต่ว่าจะเป็นภูมิภาคไหน ต่างก็มีชื่อของผู้เพาะเลี้ยงรายฉมังๆ ไว้เช่น มอบิน วอล์กเกอร์ ทริกก์ เบิร์ดซอง และอื่นๆ ต่างพวกต่างก็เหมาะกับวิธีล่านั้นๆ
หมาจิ้งจอกในอเมริกานั้นหายากกว่าในอังกฤษ และกลิ่นหมาจิ้งจอกในดงทึบและภูมิประเทศที่เป็นขุนเขาก็ตามยาก ฉะนั้น อเมริกันฟ็อกซ์ฮาวนด์จึงต้องอาศัยจมูกที่ไวและแม่นเป็นพิเศษ หมาที่แกะรอยติด จะตามหมาจิ้งจอกที่ว่องไวรวดเร็วไปไม่ลดละ ฝ่าพื้นภูมิประเทศที่ทุรกันดารไม่ท้อถอย มีฝีเท้าที่เร็วสุดยากที่นักอาชาจะตามทัน นักล่าจะตามได้ถูกก็เพราะเสียงเห่าหอนของมันไปตลอดทาง หมาพันธุ์ฝรั่งเศสของ ยอร์จ วอชิงตันนั้น กล่าวกันว่าร้องเพราะมีกังวานประดุจ "เสียงระฆังในกรุงมอสโก"
ยามคำ่คืน หมาพวกนี้จะตามกลิ่นหมาจิ้งจอกไปจนกระทั่งหมาจิ้งจอกมุดเข้ารูเข้าโพรง มันจะเฝ้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าของเป่าปากเรียกนั้นแหละ มันจึงจะวิงกลับมาไกลเป็นไมล์ๆ เพื่อกลับบ้าน ซ่ึงนับว่าเก่งไม่น้อยที่จับทิศทางกลับบ้านได้แม่น อเมริกันฟ็อกซ์ฮาวนด์นั้น หูยาวและตาโศก มีเสียงหอนที่เพราะ
สูงเพียงไหล่ 21-25 นิ้ว นำ้หนักประมาณ 70 ปอนด์

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลุ่มพันธุ์ฮาวนด์Hound Group อิงลิชฟ็อกซ์ฮาวนด์English Foxhound



อิงลิชฟ็อกซ์ฮาวนด์ English Foxhound

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมหมาล่าจิ้งจอก ชีวิตอันเริงรื่นชื่นใจก็ตอนที่แห่ข้ามทุ่งในอังกฤษกันเป็นฝูงๆ นั่นแหละ เรื่องการล่าหมาจิ้งจอกของพันธุ์นี้ เป็นกิจกรรมมาตั้งแต่ยุคกษัตริย์ในสมัยกลาง โดยเจริญรอยตามอย่างหมาล่ากวางป่าที่ตัวใหญ่กว่าและถือว่าเป็นบรรพสุนัขของมัน
ยุคที่โอลิเวอร์ ครอมเวล ครองอำนาจอยู่นั้นเขาได้ล้างป่า ล่ากวางเสียหลายแห่ง แล้วก็บังคับให้พวกนักล่ากวางหันไปล่าหมาจิ้งจอกแทน ในศตวรรษที่ 18 ดยุคแห่ง
โบฟอร์ด ซึ่งกำลังกลับจากการล่ากวาง เกิดปล่อยหมาให้ตามกลิ่นหมาจิ้งจอกไป ดยุคก็เลยต้องห้อม้าตามฝูงหมาข้ามทุ่งข้ามท่าไปลิบลับ อันเป็นเหตุให้เกิดความคึกคักสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง การล่าหมาจิ้งจอกก็ลยเป็นที่นิยมของชนชั้นสูงจนถึงชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง
คำขวัญของกีฬาล่าหมาจิ้งจอกมีอยู่ว่า"จะเลือกเอาหมาจิ้งจอกที่ตายหรือจะเอาคอตนเองหัก"อันเป็นการกระตุ้นสปิริตของบรรดาทหารและนักการทูตของอังกฤษทั้งหลาย จนกลายเป็นที่ลือเลื่องไปทั้งในวรรณกรรมและจิตรกรรมที่แสดงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและรูปภาพที่แสดงว่า"การล่านี้เป็นกีฬาของพระราชา"ดังที่นาย ยอร็อกส์ ได้พรรณาไว้ว่า"ได้รับรสแห่งความตื่นเต้นประหนึ่งทำการสัปยุทธ์โดยไม่บาดหมางใจและเสี่ยงภัยแค่ 25เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"
การเพาะพันธุ์และเลี้ยงอย่างระมัดระวังได้ทำให้อิงลิชฟ็อกซ์ฮาวนด์ ทำงานได้เหมาะสมอย่างยิ่งกับสายพันธุ์เกรย์ฮาวนด์ ได้ทำให้ขาของมันยาว ตรง วิ่งเร็ว และมีความอดทนสูง ฝูงที่ดีๆ และเก่งๆ อาจจะนำฝูงม้าของนักล่าข้ามทุ่งไปได้ไกลๆ ถึง 75 ไมล์ อกเป็นรูปสีเหลี่ยมและตีนนุ่มเหมือนแมว ขนาดและฝีตีนของมันนั้นแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าภูมิประเทศอย่างไหนตั้งแต่ที่เป็นลูกเนินไปจนถึงที่เป็นเขา หรือชันดิกอย่างในไอร์แลนด์ แต่ก็ไม่เร็วไม่ช้ากว่ากันมากนัก
สีแบล็กแอนด์แทนคือดำนำ้ตาลนั้น แต้มตามตัวมันทับสีพื้นที่ขาวมากบ้างน้อยบ้าง นักเพาะหมาบางรายก็ต้ังใจจะให้มีสีสมำ่เสมอเหมือนกันหมดทั้งฝูง และต่างก็เลือกเอาตัวที่เห่าหอนได้เสนาะโสต
การล่าหมาจิ้งจอกเป็นกีฬาที่ติดตามชาวอังกฤษไปทุกแห่งหนในโลก ท่านลอร์ดแฟร์แฟ็กซ์ได้นำเอาหมาฮาวนด์
ของอังกฤษมาที่รัฐเวอร์จิเนียเมื่อปี 1738 และฝูงหมาล่าพันธุ์นี้ก็ยังมีหอนเห่าอยู่ตามท้องทุ่งในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์อยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ หมาฮาวนด์ที่ขลิบหูและมีหัวชูตรงตามแบบฉบับของหมาอังกฤษก็ยังอยู่ในทุ่งหญ้าแคนาดาตามกลิ่นหมาจ้ิงจอกที่คนหลอกเอาขี้ม้าโรยไว้เพื่อล่อหมา
สูงเพียงไหล่ 23-25 นิ้ว นำ้หนักประมาณ 85 ปอนด์

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลุ่มพันธุ์ฮาวนด์ Hound Group บาสเซ็ตฮาวนด์ Basset hound

บาสเซ็ตฮาวนด์ BassetHound

หมาบาสเซ็ตสืบเชื้อสายมาจากหมาฮาวนด์พันธุ์แซงต์ฮูแบรต์ซึ่งใช้แกะรอยจนพบสัตว์แล้วตะเพิดออกมาจากที่ซุ่มซ่อน เนื่องจากเพาะพันธุ์กันมา
โดยฝีมือพวกพราน หมาตวลำ่ม่อต้อย่อมๆนี้เองจึงสามารถแกะรอยกวาง หมาป่า หมูป่าในป่าภาคเหนือยุโรป จนถึงขั้นตามหมาจิ้งจอกและ เกมอื่นๆ ได้
พรานฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 มักจะใช้บาสเซ็ตตามกลิ่นตัวเบ็ดเยอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งขนาดเท่าหมาจิ้งจอก ตีนมีเล็บอย่างหมี และขุดโพรงอาศัยอยู่
ในดิน ต้องใช้บาสเซ็ตที่ฝึกไว้ดีแล้วอย่างน้อย 12 ตัว โดยแต่ละตัวต้องมีปลอกคอหนาสามนิ้วมีกระพรวนผูก แล้วก็คอยฟังขณะที่หมามันเห่าตอนที่ตามเหยื่อลงไปในโพรงใต้ดิน แล้วคนตั้งสิบคนซึ่งมีพลั่ว มีเสียมก็คอยขุดตามไปเพื่อเอาเหยื่อนั้นขึ้นมา
หลายศตวรรษที่บาสเซ็ตฮาวนด์หลายจำพวกเวียนไปวนมาอยู่ในฝรั่งเศส แล้วก็วิวัฒนาการไปจนกระทั้งกลายมาเป็นขนเรียบเส้นหยาบๆ ขาตรงบ้าง ขาคดๆบ้างก็มี แม้ในภาคพื้นยุโรปจะรู้จักหมาบาสเซ็ตมาช้านาน ชาวอังกฤษน้อยคนนักจะได้เคยเห็นก่อนปี 1863 คราวที่มีการโชว์หมาครั้งแรกในกรุงปารีส แล้วเข้ามาอวดตัวในอังกฤษอีก 12 ปีต่อมา พันธุ์นี้ก็เกิดเป็นที่ถูกใจ บรรดาเจ้านายอังกฤษต่างก็หลงใหลใฝ่ฝัน ทั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และพระราชินีอเล็กซานดราก็ทรงโปรดด้วยกันทั้งนั้น
พันธุ์สายเลือดที่เห็นกันบ่อยๆ ในสหรัฐนั้นเรียกว่า Le Couteulx ตามชื่อของนักเพาะหมาชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 มักจะมีสีอย่างฟ็อกซ์ฮาวนด์ต้ังแต่หูที่ตูบห้อยย้อยลงมา ยังกะผ้าม่านกำมะหยี่อันนุ่มนิ่ม ไปจนถึงหาง
ที่ชูตั้งแล้ว ขาสั้นลำ่ม่อต้อสูงกว่าดินไม่กี่นิ้ว แต่ก็ใช่จะเป็นโทษหากแต่กลับเป็นคุณเพราะจมูกอันไวนั้นเองจะอยู่เกือบชิดดิน ช่วงก้าวที่สั้นนี่เองที่พรานพอจะเดินตามได้ทัน ยามที่มันจับกลิ่นสัตว์ได้ นักกีฬาในสหรัฐใช้ล่าหมาจิ้งจอก แร็กคูน โอพอซซัม และกระรอก แต่ที่นับว่าเด่นในคุณภาพของบาสเซ็ตก็คือการไล่ไก่ฟ้าและกระต่ายออกจากที่ซ่อน การเยื้องย่างอย่างไม่รีบร้อนแต่ละเอียดลออในทุ่ง ทำให้สัตว์ไม่แตกตื่น เป็นหมาที่ฝึกได้ง่ายและฝึกให้เก็บนกก็ได้ นิยมเลี้ยงกันเป็นหมาบ้านในสหรัฐ ใครเห็นตาโศกของมันเข้าแล้ว ทนอยู่ไหวหรือที่จะไม่รักมันได้
สูงเพียงไหล่ 11-15 นิ้ว นำ้หนัก 25-40 ปอนด์

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลุ่มพันธุ์ฮาวนด์ บลัดฮาวนด์ Bloodhound


บลัดฮาวนด์ Bloodhound

พันธุ์นี้จัดว่าเป็นชั้นเซียนในหมู่หมาที่ล่าโดยอาศัยกลิ่น เป็นหมาที่มีสีหน้าวางเฉยที่สุดและมีจมูกไวที่สุดของโลกทีเดียว ระบบประสาทการดมกลิ่นอันลำ่เลิศประกอบด้วยปณิธานอันแน่วแน่ ลือเลื่องกันมาแล้วตั้งแต่สมัยโรมันเรืองอำนาจ แต่สายเลือดบลัดฮาวนด์เท่าที่รู้กันมานั้นเริ่มขึ้นเมื่อศตววษที่ 8 จากหมาฮาวนด์พันธุ์แบล็ก แอนด์ แทนคือดำตัดนำ้ตาลที่เรียกกันว่า
แซงต์ฮูแบรต์ ที่เขาเคยใช้ล่าเนื้อกันในป่าอาร์เดนส์ กับอีกพันธุ์หนึ่งที่เรียกกันว่า ทัลโบต์ฮาวนด์ บรรดาเจ้าผู้ครองถิ่นนอร์มันได้นำเอาบลัดฮาวนด์ต้นตระกูลข้ามช่องแคบมาสู่อังกฤษ และในศตวรรษต่อๆ มา ตอนที่วัดอารามทุกแห่งต่างก็มีคอกเลี้ยงหมาของตนไว้นั้น พระชั้นราชาคณะก็นิยมเลี้ยงกัน ต่างก็รักษาเลือดพันธุ์บริสุทธิ์ไว้ จึงได้ชื่อว่า "บลัดฮาวนด์" ซึ่งหมายถึงหมาที่มีสายเลือดบริสุทธิ์แท้
ดร.โยฮัน ไคอุส ผู้รอบรู้ในเรื่องยุคสมัยอลิซาเบท ได้อธิบายไว้ว่าหมา
พันธุ์นี้โดยปกติก็เรียกกันว่า "Bloundhounde"หรือ"Sanguinarius"เพราะความสามารถในเชิงตามรอยกลิ่นเลือดสัตว์ที่บาดเจ็บจากการล่า แม้แต่ตอนที่เกิดโจรลักวัวกันชุกชุมในเขตพรมแดนระหว่างอังกฤษกับสก็อตแลนด์ก็สามารถตามรอยคน(โจร)ได้ไม่ผิดพลาด ในกาลต่อมาหมาบลัดฮาวนด์ ก็แกะรอยตามพวกลักฆ่ากวาง ในเขตวนอุทยานขนาดใหญ่หรือเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าในอังกฤษ
แม้อังกฤษจะเป็นผู้คัดผู้เพาะพันธุ์นี้ขึ้นมา หมาพันธุ์นี้ก็มีชื่อเสียงสูงสุดและยังรักษาชื่อนั้นอยู่อย่างไม่มีด่างพร้อยในสหรัฐ บางคนรังเกียจหมาพันธุ์นี้แล้วก็วาดภาพให้เห็นความดุร้ายของมันในการเข้าฟัดทาสที่หลบหนีเจ้านาย ซึงความจริงแล้ว หมาบลัดฮาวนด์เลือดบริสุทธิ์นั้นเป็นหมาที่อ่อนโยนที่สุด มักจะขี้อายมากกว่าดุร้าย หมานี้เองที่แกะรอยตามนักโทษที่หลบหนีและสูดดมกลิ่นแก๊สที่รั่วออกจากท่อใต้ดิน แต่หน้าที่หลักของพันธุ์นี้คือ ตามกลิ่นคนเพื่อหาผู้ที่หลงทางหรือผู้ที่กำลังหลบหนี สามารถจับกลิ่นเหงื่อไคลของมนุษย์ที่เอาละลายในนำ้ให้เจือจางถึงหนึ่งในล้านได้ สามารถแกะรอยตามดินชื้น ลมพัดอ่อนอุณหภูมิพอเหมาะ หมาบลัดฮาวนด์จะแกะรอยใหม่ๆ โดยเงยหน้าเสมออก จับกลิ่นเอาในอาศ หากเป็นรอยที่จางกลิ่นเต็มที่แล้วก็จะเอาจมูกและริมฝีปากลงชิดดิน
หัวอันใหญ่โตวัดได้ความยาวกว่า 12 นิ้ว จากปลายจมูกถึงจุดบนกลางหัว(ระหว่างโคนหูที่ชิดกัน) หูที่แลดูยังกับผวยผ้าเมื่อจับกางออกทั้งสองข้างวัดได้ประมาณ 30 นิ้ว หนังที่ย่นยู่ยี่ตามหัวและคอก็ยิ่งย่นหนักเมื่อเวลามันก้มลงดมตามดิน เน้ือตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นเป็นสีดำและสีแทน หรือแดงและแทน หรือนำ้ตาลปนเหลือง หมาบลัดฮาวนด์รักคนเป็นอย่างยิ่งและประสาทไวยิ่งนัก ชอบอยู่กับคน เมื่อคนแสดงความรักเอ็นดูหรือดุด่าวากล่าวมัน ซึ่งมันจะสำนึกในทันที
สูงเพียงไหล่ 23-27 นิ้ว นำหนัก 80-110 ปอนด์

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การดูแลสุนัขก่อนและหลังการคลอด


การดูแลสุนัขก่อนและหลังการคลอด

ครวจัดสถานที่ไว้ให้แม่สุนัขคลอดโดยต้องไม่อยู่ในที่โล่งแจ้ง ครวหามุมเงียบสงบพ้นจาก
สายตาของสัตว์เลี้ยงตัวอื่น เมื่อได้สถานที่แล้วสุนัขจะนอนลงไม่ไปไหน ไม่
ยอมกินอะไรในช่วงนี้ ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิสุนัข(อุณหภูมิปกติอยู่ที่ประมาณ 100.5 F) ถ้าอุณหภูมิลดตำ่ลงกว่า 99.5 F แสดงว่าจะคลอดภายใน 24 ชั่วโมง (ครววัดอุณหภูมิต้ังแต่ท้องประมาณ 55 วัน)การที่อุณหภูมิลดลงเป็นเพราะว่าร่างกายสุนัขจะหลั่งสารออกมาระงับอาการเจ็บปวดก่อนคลอด ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิตำ่ลง ถ้าไม่ใช้การวัดอุณหภูมิให้สังเกต
เต้านมของแม่สุนัขจะมีการบวมคัดเมื่อบีบจะมีนำ้นมไหลออกมา สุนัขจะหายใจแรงกระสับ
กระส่ายแสดงอาการเบ่งลูก
ข้อครวระวัง เมื่อแม่สุนัขแสดงอาการเบ่งลูกแล้วไม่ยอมออกเป็นเวลานานเกิน 6 ชั่วโมง
แสดงว่ามดลูกไม่มีแรงบีบตัว ให้พาแม่สุนัขไปพบสัตว์แพทย์เพือทำคลอดทันที หาก
ปล่อยทิ้งไว้แม่สุนัขอาจเสียชีวิตได้ กรณีนี้ครวเคลื่อนย้ายแม่สุนัขด้วยความระมัดระวัง
ขั้นตอนในการคลอด
แม่สุนัขกำลังจะคลอดลูกจะมีอาการกระสับกระส่าย หายใจแรงเป็นช่วงๆ และจะมีนำ้นมไหลออกมา มดลูกบีบตัวเป็นจังหวะ มีนำ้เมือก

ละลายออกมา มีการคลายและขยายของปากมดลูก พฤติกรรมเปลี่ยน เช่น ขุดพื้น ไปซุกตัวตามมุมมืดๆ ช่วงเตรียมคลอดประมาณ 1-36 ชั่วโมง แม่สุนัขคลอดจริง มีการฉีกขาดของรกของลูกตัวแรก ถุงนำ้ครำ่ที่ห่อตัว
ลูกสุนัขอยู่แตก แล้วถุงที่หุ้มตัวลูกสุนัขจะออกตามมาภายใน 30 นาที ไม่ครวเกิน 2 ชั่วโมงหลังจากถุงนำ้ครำ่แตก หากไม่มีลูกสุนัขออกมาให้พาแม่สุนัขพบสัตว์แพทย์ทันที แสดงว่ามีปัญหาในการคลอด ตัวลูกอาจจะอยู่ในแนวขวาง หรือตัวลูกใหญ่เกิน ถ้าพาไปผ่าไม่ทันจะทำให้ลูกในท้องตายทั้งหมดได้กรณีช่วยทำคลอด หลังจากลูกสุนัขคลอดออกมา ให้ใช้มือคอยๆดึงถุงลูกสุนัขออกมาตามทางของช่องคลอด ประคองถุงตัวลูกสุนัขไว้แล้วค่อยๆ ดึงเพื่อให้รกออกมาด้วย (จับตรงสายระหว่างถุงกับรกแล้วค่อยดึง)เพื่อรกจะได้ไม่ค้างอยู่ในมดลูก จากนั้นฉีกถุงหุ้มตัวลูกสุนัขออก มัดสายสะดือห่างจากท้องประมาณ 1 นิ้ว ตัดสายสะดือ ทาเบทาดีน ดูดเมือกในปากและจมูกลูกสุนัขออก ใช้ผ้าเช็ดถูย้อนขนลูกสุนัขเพื่อกระตุ้นการหายใจ สามารถใช้นำอุ่นหรือแอลกอฮอล์ เช็ดตัวลูกสุนัขเพื่อป้องกันการเกิดผิวหนังอักเสบอันเนื่องมาจากคราบสกปรกที่เกิดจากการคลอดซึ่งเราเช็ดไม่หมด จับลูกสุนัขให้ดูดนมแม่กระตุ้นด้วยการบีบให้นำ้นมไหลแล้วจับปากลูกสุนัขให้งับแล้วดูว่าลูกสุนัขสามารถดูดนมได้ และลูกตัวอื่นๆ ให้ครบทุกตัว
นำ้นมแม่สุนัขสำคัญอย่างไร
ลูกสุนัขแรกคลอดมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องได้รับนำ้นมจากแม่สุนัข โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 24-72 ชั่วโมงแรกซึ่งจะเป็น"นมนำ้เหลือง"(Colostrum) โดยที่เราจะสังเกตได้ว่านมนำ้เหลืองนั้นจะมีสีค่อนข้างเหลืองและข้นในขณะที่นมปกตินั้นจะเป็นสีขาวใส เหตุที่นมนำ้เหลืองมีความสำคัญสำหรับลูกสุนัขมากก็เนืองมาจากภูมิคุ้มกันโรคต่างๆที่สร้างจากตัวแม่สุนัขจะสามารถถ่ายทอดมายังลูกสุนัขได้โดยอาสัยการผ่านทางนำ้นมเหลืองนี้ถึง 80% และส่วนที่เหลือของภูมิคุ้มกันเพียง 20% ได้ผ่านจากแม่มาสู่ลูกสุนัขแล้วในช่วงที่แม่สุนัขตั้งท้อง เมื่ิอพ้น 3 วันแรกภายหลังการคลอดไปแล้ว นมนำ้เหลืองก็จะค่อยๆหมดไป แม่สุนัขก็จะเริ่มสร้างนำ้นมปกติออกมา โดยภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากนมนำ้เหลืองนี้ก็จะสามารถช่วยทำให้ลูกสุนัขได้รับภูมิคุ้มกันโรคจากแม่สุนัขและสามารถนำมาใช้กับตัวลูกสุนัขเองได้เลย ซึ่งภูมิคุ้มกันแบบนี้จะเรียกว่า ภูมิคุ้มกันแบบรับมาPassive Immunnity

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การตกไข่ของสุนัขตัวเมีย

การตกไข่ของสุนัขตัวเมีย
ถ้าอยากทราบวันที่สุนัขตกไข่และพร้อมผสมต้องพาสุนัขไปพบสัตว์แพทย์ เพื่อทำการตรวจว่าสุนัขของเราพร้อมที่จะผสมได้เมื่อไหร่ หรืออีกวิธีง่ายๆ และตามธรรมชาติคือ ถ้าเรามี
สุนัขตัวผู้อยู่ในบ้านด้วยเราจะสังเกตได้ว่า ถ้าตัวเมียให้ตัวผู้ขึ้นนั้น
หมายความว่า ตกไข่แล้ว
ถ้าไม่ได้ให้เขาผสมกันเอง ก็ควรจะแยกเขาออกจากกัน วันต่อมาก็สามารถพาไปผสมกับสุนัขที่เราต้องการได้เลย ระยะเวลาที่ตัวเมียพร้อมให้ผสม จะนับจากวันที่เขามีประจำเดือน
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ 10 หรือภายในวันที่ 10-14 ของการมีประจำเดือน ไม่ควรให้ผ่านพ้น
หรือใช้วิธีธรรมชาติโดยให้สุนัขตัวผู้เป็นตัวบอกเราได้เหมือนกัน
การตั้งท้อง
ภายหลังการผสมพันธุ์แล้ว แม่สุนัขตั้งท้องประมาณ 60 วัน จะมีนำ้หนักตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งท้อง เพราะลูกมีการเจริญเติบโต ไม่ควรให้อาหารใน
ปริมาณที่มากจนเกินไปในขณะที่ตั้งท้องอ่อนๆ จะทำให้แม่สุนัขอ้วน และมีไขมันมากเกิน
ความจำเป็น(ควรเริ่มบำรุงในช่วง 45 วันของการตั้งท้อง)เพราะอาจจะเกิดปัญหาทำให้คลอดยาก ในช่วงนี้ไม่ควรออกกำลังกาย
อาหารที่ให้ครวมีโปรตีนสูงและเพิ่มปริมาณมากขึ้น 20% จากที่เคยให้ เมื่อสุนัขท้องมดลูกจะขยายตัวออกเต็มท้องกระเพาะอาหารสุนัขจะขยายตัวได้ไม่เท่าปกติ ดังนั้น ให้อาหารแม่สุนัขในแต่ละวันโดยแบ่งออกเป็นหลายๆ มื้อ เมื่อลูกๆ ของสุนัขคลอดออกมาแล้ว
อยู่ในระหว่างการดูแลของแม่สุนัข แม่สุนัขจะต้องกินอาหารมากกว่าปกติถึง 50% ความต้องการสารอาหารและพลังงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม่สุนัขต้องการกินอาหารเพิ่มขึ้นในปริมาณ 3-5 เท่าของอาหารที่กินปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าแม่สุนัขจะสามารถผลิตนำ้นมให้ได้มากเพียงพอกับความต้องการของลูกๆ และยังคงมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงอยู่นั้นเอง ในช่วงการให้นมซึ่งอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แม่สุนัขจะมีนำ้หนักลดลงประมาณ 4-7% ต่อวัน จากการผลิตนำ้นม ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้อาหารแม่สุนัขวันละหลายๆ มื้อ อาจจะให้ได้วันละ 3-4 ครั้งต่อวัน โดยเน้นอาหารที่มีสารอาหารเข้มข้นโปรตีนสูง ให้อาหารแม่สุนัขได้มากเท่าที่สุนัขต้องการ โดยไม่ต้องห่วงว่าแม่สุนัขจะกินมากเกินไป เตรียมนำ้ดืมที่สะอาดให้เพียงพอ ช่วงนี้แม่สุนัขจะดื่มนำ้มาก

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หลัักในการผสมพันธุ์สุนัข

หลักในการผสมพันธุ์สุนัข
การผสมพันธุ์สุนัขครวเลือกผสมสุนัขที่เป็นพันธุ์แท้ มีลักษณะตาม
ข้อกำหนดสายพันธุ์ และที่สำคัญคือพันธ์ุเดียวกัน โดยศึกษาลักษณะเด่นและ
ด้อยของทั้งพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ให้ดีเสียก่อน เพราะลูกสุนัขจะพัฒนาและ
นำรูปร่าง ลักษณะและนิสัยที่ดีและเสียมาจากทั้งพ่อและแม่ สิ่งที่ครวคำนึงในการผสมพันธุ์ก็คือ ไม่ควร
ผสมพันธุ์ระหว่างสุนัขที่มาจากสายเลือดเดียวกันหรือใกล้ชิด เช่น แม่กับลูก หรือระหว่างพี่น้องด้วยกัน การทำเช่นนั้นอาจก่อให้เกิดความพิการ และโรคต่างๆ

การเลือกพ่อพันธุ์
ควรเลือกพ่อพันธุ์ที่มีลักษณะดีถูกต้องตามลักษณะสายพันธุ์ โครงสร้างใหญ่ นิสัยไม่ก้าวร้าว เชื่อฟังคำสั่ง โอกาสที่ลูกสุนัขตัวนั้นจะเติบโตเป็นสุนัขที่สวยงามสมบูรณ์ก็เป็นไปได้มาก ได้ลูกสุนัขจากพ่อแม่ที่เป็นเกรด
ระดับประกวด ถ้าเป็นแชมป์ได้ยิ่งดีมาก โอกาศที่ลูกสุนัขจะโตแล้วสวย เป็นสุนัขระดับประกวด ถูกต้องตามสายพันธุ์ เพราะลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ข้อควรระวัง เมื่อสุนัขตัวผู้มีอายุได้ประมาณ 6-8 เดือน จะเริ่มมีอาการกระตือรือร้นทางเพศ และสามารถผสมพันธุ์ได้ แต่จะไม่ดี ถือว่ายังเด็กเกินไป หากแต่การผสมบ่อยครั้ง ในขณะมีอายุน้อยเช่นนี้ อาจมีผลให้สุนัขมีร่างกายทรุดโทรมและเจริญเติบโตช้า เวลาที่ดีที่สุดคือ เมื่อสุนัขมีอายุอย่างน้อยตั้งแต่ 1 ปี 5 เดือน
ขึ้นไป เนื่องจากสุนัขมีการเจริญเติบโตเต็มที่

การเลือกแม่พันธุ์
ควรเลือกแม่พันธ์์ุที่มีลักษณะดีถูกต้องตามลักษณะสายพันธุ์ โครงสร้างใหญ่สมส่วน นิสัยไม่ก้าวร้าว เชื่อฟังคำสั่ง ให้ลูกออกมาสวยสุนัขตัวเมียเมื่อมีอายุได้ 9-10 เดือน จะเริ่มมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก แต่ในการผสม
พันธุ์ที่ถูกต้องควรรอให้สุนัขมีประจำดือนครั้งที่ 2 เสียก่อน โดยปกติสุนัขตัวเมียจะมีประจำเดือนทุกๆ 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้งนั้นเอง ในแต่ละครั้งจะเป็นระยะเวลา 18-21 วัน โดยวันที่ 10-14 จะเป็นวันที่เหมาะสมในการผสมพันธุ์มากที่สุด การผสมพันธุ์แต่ละครั้งจะทำให้ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีร่างกายอ่อนแอ และอาจทำให้ตัวเมียแก่เร็วและมีสุขภาพไม่แข็งแรงเท่าที่ควร การนำสุนัขไปผสมพันธุ์นอกบ้านควรนำสุนัขไปทำความรู้จักและคุ้นเคยกับสถานที่และสุนัขอีกฝ่ายเสียก่อน โดยปกติการผสมจะทำ 2 ครั้งโดยห่างกัน 24 ชม. เพื่อที่จะได้ผลที่แน่นอน

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พอยน์ติงกริฟฟอนขนแข็ง Wirehaired Pointing Griffon


กลุ่มพันธุ์สปอร์ต พอยน์เตอร์ Sporting Group- Pointer

ปี 1874 อี.เค.คอร์ทาลส์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเพาะหมาพันธ์ุสปอร์ตชนิดใหม่ขึ้นมาสักพันธุ์หนึ่ง ได้ทดลองนำมาเพาะต่อในเยอรมนี ฝรั่งเศส จนกระทั้งในที่สุดก็ได้หมาที่มีลักษณะดังนี้และเป็นหมาคู่ปืนที่ฉมังนัก เป็นหมาที่มีคุณสมบัติทั้งของพอยน์เตอร์ของหมาเก็บนก และมีจมูกที่แม่นและไวยิ่งนักเพราะมีเลือดของอ็อตเตอร์ฮาวด์และเช็ตเตอร์ และน่าจะมีเลือดของพอยน์เตอร์ สแปเนียลผสมเข้ากับพันธุ์กริฟฟอนที่มีพื้นฐานมีขนหยาบหนาอยู่แล้วเข้าด้วย
เป็นหมาที่ใช้ได้ทั่วไป ในการล่านกคุ่ม นกกระทา และเกมอื่นๆ พันธุ์กริฟฟอนนี้มีปฎิภาณสูงกว่าพวกพอยน์เตอร์หรือเซ็ตเตอร์ ที่นับว่ายอดเยี่ยมคือเป็นนักว่ายนำ้ที่แกร่ง และเป็นหมาเก็บนกในนำ้ชั้นดีเลิศ ขนอันยุ่งเหยิงมีประโยชน์ เพราะเหมาะที่จะใช้เก็บนกเป็ดนำ้ในฤดูหนาวที่หนาวมากได้โดยไม่ย่อท้อ
สีขนที่คลุกกันเปรอะไปทั้งตัว คือสีเหล็กกล้าปนเทา เทาขาว สีลูกเกาลัค แต่ไม่เคยมีสีดำ สีจมูกเป็นสีนำ้ตาลอยู่เสมอ หางมักถูกขลิบเอาไว้ให้เหลือเพียงหนึ่งในสามเท่าของความยาวหาง ในสหรัฐพบพันธุ์นี้ได้น้อย
สูงเพียงไหล่ 19.5 - 23.5 นิ้ว นำ้หนัก 56 ปอนด์

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พอยน์เตอร์เยอรมันขนสั้น German Shorthaired Pointer

กลุ่มพันธุ์สปอร์ต พอยน์เตอร์ Sporting Group- Pointer

"กลางวันเป็นหมาล่านก กลางคืนเป็นหมาฮาวด์" คือหมาที่พวกนักผสมพันธุ์ชาวอเมริกัน เขาพรรณาถึงเจ้าตัวที่นำมาจากเยอรมนีพันธุ์นี้ ขนที่สั้นมีประโยชน์สำหรับพันธุ์นี้ ได้จากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างเยอรมันพอยน์เตอร์เก่าแก่กับอิงลิชพอยน์เตอร์
พอยน์เตอร์เยอรมันเก่าแก่นั้นมาจากพอยน์เตอรืสเปน ซึ่งนำเข้าไปในเยอรมนีประมาณเมื่อ 300 ปี มาแล้ว ชาวเยอรมันก็ผสมเข้ากับหมาบลัดฮาวด์เพื่อให้เป็นหมาล่าสัตว์ที่พอจะล่านกชี้นกได้ในตอนกลางวันและตามกลิ่นสัตว์สี่เท้าได้ในยามคำ่คืน
ส่วนอังกฤษนั้นผสมพันธุ์ของสเปนเข้ากับฟอกซ์ฮาวด์และเกรย์ฮาวด์อีกด้วย เพื่อให้ฝีเท้าจัด
ในตอนปลายศตวรรษที่ 19 นักกีฬาภาคพื้นยุโรปเริ่มผสมเยอรมันพอยน์เตอร์ของตน เข้ากับพันธุ์อังกฤษที่โฉบเฉี่ยว โดยต้ังไว้ว่าจะได้หมาที่เร็วกว่าเดิมเพื่อยิงนก และยังมีจมูกไว มีเสียงเห่าดังก้องเหมือนหมาล่าสัตว์สี่เท้าคือหมาฮาวด์ สำหรับล่าสัตว์ตอนกลางคืน
ผลทีได้มาก็คือ เจ้าเยอรมันขนสั้นนี้แหละ แต่ยังไม่ได้มีฝีเท้าจัดจึงไม่ค่อยเห็นในสนามประกวดในทุ่งโล่งประชันกับพอยน์เตอร์หรือเซ็ตเตอร์ในสหรัฐ แต่หมาพันธุ์นี้ก็ดมกลิ่นตามดินอย่างถี่ถ้วนและความสามารถรอบตัวก็ดี สามัญสำนึกของมันก็ดี ก็ยังติดใจคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบรัฐภาคตะวันตกตอนกลางของสหรัฐ ไม่เพียงแต่จะชี้นกและแกะรอย แต่ยังเก็บนกได้ทั้งบนบกและในนำ้
เท้ามีผังผืดระหว่างซอกนิ้วและขนก็ไม่เปียกนำ้ จึงทำให้เป็นหมาล่านกนำ้ยอดนิยมในย่านเกรตเลกส์มาก
สีกับหางจู๋เป็นการจำแนกลักษณะมันไว้จากพวกพอยน์เตอร์ธรรมดา ขนที่ราบและแน่นเป็นสีตับอ่อน เข้ม และแต้มเป็นสีขาวและเป็นจำ้ๆ ก็มี
สูงเพียงไหล่ นิ้ว 21-25 นำ้หนัก 45-75 ปอนด์

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ไวมาราเนอร์ Weimaraner

กลุ่มพันธุ์สปอร์ต พอยน์เตอร์ sporting Group- pointer

ดวงตาสีนำ้เงินหรือสีอำพัน รูปร่างเพรียวและขนเป็นเงาวาววับ ในราชสำนักไวมาร์ได้พัฒนาหมาล่าสัตว์นี้ขึ้นมาเพื่อใช้ในเขตป่าสงวนพันธุ์สัตว์ธูริงเกียน ที่เป็นสายเลือดแรงในการล่าสัตว์ของหมาพันธุ์นี้ก็คือ พันธุ์ไวสต์ชุนเป็นหมาบลัดฮาวด์สีแดงเข้ม พันธุ์ไวมาราเนอร์นี้ในชั้นแรกก็ตามกวาง หมี และหมูป่าที่ดุร้าย พอสัตว์ใหญในเยอรมันนีเหลือน้อยและหายากเข้า ก็เลยหันมาล่าและเก็บนก พันธุ์นี้มาลงตัวเมื่อต้นศตวรรษที่ 1800 แต่ก็เลี้ยงกันอยู่เฉพาะด้วยความหวงแหน จนไม่ค่อยจะรู้จักกันกว้างขวางนอกพื้นถิ่นที่กำเนิด
ผู้ทีเป็นตัวกำหนดชะตาหมาพันธุ์นี้ก็คือสโมสรนักกีฬาและเจ้าของหมาชั้นสูง ซึ่งจะยอมผสมหมาเฉพาะที่มีมาตรฐานชั้นเยี่ยมยอดเท่านั้น และเก็บเอาเฉพาะลูกที่ดีที่สุดเอาไว้ พวก"ผู้คุมการผสมพันธุ์" จะท่องเที่ยวไปทั่วถิ่น โดยบงการว่าลูกหมาตัวไหนจะทำลายเสีย ไม่เลี้ยงไว้ให้เสียพันธุ์ เจ้าของหมาก็ถูกจำกัดไว้ให้เลี้ยงลูกที่เพาะมาได้คราวละ 3-4 ตัว หมาพันธุ์ไวมาราเนอร์ไม่เอาเข้าประกวดโชว์หรือประกวดในทุ่ง และหากสมาชิกสโมสรจำนวนสามคนโหวตว่า "ไม่" แล้ว คนนอกไม่มีสิทธิ์ได้ลูกหมาไปเลี้ยงเลย
ในปี 1929 นายโฮเวิร์ด ไนต์ นักกีฬาจากเมืองโพรวีเด็นต์ โรดไอส์แลนด์ ได้รับอนุมัติให้เข้าเป็นสมาชิกในสโมสรเยอรมันแห่งนี้ จึงเป็นครั้งแรกที่หมาไวมาราเนอร์ได้ตกเข้ามาสู่อเมริกา ตัวแรกที่นำเข้าโรดไอส์แลนด์ และอีก 6 ตัวที่สั่งเข้าไปภายหลัง ได้กลายเป็นต้นตระกูลพันธุ์ที่ดีในอเมริกา
ในปี 1943 สโมสรอเมริกันเค็นเนล ได้ลงมติยอมรับพันธุ์นี้เข้าไว้ในทำเนียบ เจ้านักล่าสีเทาเงินจึงได้ไต่เต้าเป็นหมายอดนิยม และน่าจะกล่าวไว้ด้วยว่าหมาไวมาราเนอร์ชื่อ ไฮดี ของ ดไวต์ ดี.ไอเซนฮาวร์ นับเป็นหมาตัวแรกที่อยู่ในทำเนียบขาว นับตั้งแต่เจ้าตัวของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี.รุสเวลต์ ซึ่งเป็นพันธุ์สก็อตติ ชื่อ ฟาลา ความมีจมูกแม่นและฉลาดของมัน ทำให้ง่ายแก่การฝึกเจ้าหมาล่าตามลูกเนินที่ทรงพลังชนิดนี้ เป็นหมาโตเร็วและเป็นหมาที่เลี้ยงได้เชื่องมาก เป็นหมาที่ภูมิฐานและรักบ้านรักนายเป็นอย่างยิ่ง
สูงเพียงไหล่ 23-27 นิ้ว น้ำหนัก 55-58 ปอนด์

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

อิิงลิิิช พอยน์เตอร์ English Pointer




กลุ่มพันธุ์สปอร์ต -พอยน์เตอร์ Sporting Group- Pointer

เป็นหมาล่านกชั้นหนึ่งรูปร่างสวยเพรียว อันเป็นลักษณะที่ส่อถึงความรวดเร็วว่องไวและความทรหด เวลาออกตามกลิ่นปลายจมูกมักระดุกกระดิก กล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งตัวพอนกกระทาขยับปีกนิดเดียวมันก็รู้เสียแล้ว เพราะหูของมันคอยฟังอยู่ทั้งเสียงนก เสียงปืน และเสียงทีนายสั่งอยู่ทุกขณะ
เชื้อสายของพันธุ์นี้ปรากฎในอังกฤษเมื่อประมาณ ค.ศ 1650 เจ้าของเอาไว้เสาะหาที่ซุ่มซ่อนของกระต่ายป่า แล้วตะเพิดกระต่ายออกมาให้หมาพันธุ์เกรย์ฮาวนด์วิ่งไล่กวด พอต้นศตวรรษที่18 เริ่มหันมายิงนกกันขึ้น พอยน์เตอร์พันธุ์นี้จึงมีบทบาทเป็นผู้ช่วยพระเอกก็คือเจ้าเกรย์ฮาวด์ แล้วมาเป็นดาราในการแสดงล่านกของหมา นอกจากพันธุ์เกรย์ฮาวด์แล้ว ยังมาเป็นพระเอกร่วมกับพันธุ์อื่นๆ อีกเช่น พวกพันธุ์เซ็ตเตอร์ ไอริช อิงลิช กอร์ดอน และไม่เคยเป็นลองใคร
แต่พอเกิดนิยม การยิงนกที่กำลังบิน ด้วยกระสุนตระกั่วลูกปรายกันขึ้น มันก็ไม่เร็วพอสำหรับนักกีฬาชาวอังกฤษไปเสียแล้ว เพราะพวกอังกฤษรักสัญชาตญาณในการ"ชี้นก" อันฉมังของมัน แต่ก็อยากจะได้หมาคู่ปืนที่ไม่ยืดยาดในถิ่นที่มีนก นักผสมหมาก็เลยเอาหมาพันธุ์สเเปนิชพอยน์เตอร์ อิงลิชฟ็อกซ์ฮาวนด์ บลัดฮาวนด์ และเกรย์ฮาวนด์มาผสมกัน ก็เลยได้หมาที่รวดเร็วว่องไวที่ชะเง้อคอสูงและดมกลิ่นนกจากที่สูงๆ ได้ดีเท่าๆ กับดมติดดิน ต่อมาก็เอาพันธุ์เซ็ตเตอร์เข้ามาผสมอีก ก็เลยได้พันธุ์อิงลิชพอยน์เตอร์มาใช้ในทุกภูมิประเทศ หมาพันธุ์ที่ผสมได้ใหม่นี้ได้จำแนกแจกจ่ายกันไปอย่างกว้างขวาง
ในประเทศอังกฤษซึ่งมีถินล่าสัตว์เล็กกว่าเมืองอื่น พันธุ์เซ็ตเตอร์เป็นที่นิยมมากกว่า ส่วนในสหรัฐน้ันจำเป็นที่ต้องใช้หมาที่รวดเร็ว ทำงานได้ในบริเวณกว้างขวางโดยควานไปตามพื้นดินอย่างละเอียดถี่ถ้วน และก็ไม่มีหมาพันธุ์ไล่นกบนเขาพันธุ์ไหนจะยอดเยี่ยมไปกว่าพันธุ์พอยน์เตอร์ ทั้งกำลังและความทรหด
พอยน์เตอร์เมื่อโตเต็มวัยจะพัฒนาได้เร็วกว่า พันธุ์เซ็ตเตอร์ มีความเป็นอิสระและชอบแข่งกันอยู่ในสัญชาตญานมากว่าเซ็ตเตอร์ เพราะฉะนั้นเวลามีการแข่งขัน"หมาล่านก"จึงมีพอยน์เตอร์เข้าประกวดในสนามที่สหรัฐมากกว่าพันธุ์เซ็ตเตอร์ 6 ต่อ 1
หมาพันธุ์พอยน์เตอร์จะเลี้ยงเอาไว้โชว์หรือจะเลี้ยงเอาไว้อวดความเก่งก็ได้พอๆกัน ขนที่เกรียนติดหนังของมันทำให้มุดซุ้มได้คล่อง นอกจากซุ้มที่หนาหนักหรือมีหนาม และเพราะขนที่เกรียนนี้เองจึงพอมองเห็นมัดกล้ามของมันได้ชัด มีสีขาว มีแต้มเป็นสีตับหมู สีมะนาว หรือสีดำ ทำให้มองเห็นได้ง่ายเวลาออกท้องทุ่ง
ลักษณะหัวเมื่อมองด้านข้างจะเป็นรูปเหลี่ยม คล้ายหัวของเซ็ตเตอร์แต่กว้างกว่า หางยาวตรงแข็งแรงและใหญ่เต็มที่โคนแล้วเรียวออกไปทางปลาย
ท่าทีสุภาพเรียบร้อย จัดว่าเป็นหมาล่าสัตว์อันดับผู้ดี จะเลี้ยงไว้เป็นหมาประจำบ้านก็น่ารัก ขนที่เกรียนเรียบก็ดูแลรักษาง่ายเวลาอยู่กับบ้าน
สูงเพียงไหล่ 24-27 นิ้ว นำ้หนัก 50-60 ปอนด์


วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ Labrador Retriever





กลุ่มพันธุ์สปอร์ต รีทรีฟเวอร์ Sporting Group- Retriever

รีทรีฟเวอรขนสั้นกำลังมากพันธ์ุนี้ ไม่ได้มาจากลาบราดอร์หากแต่มาจากนิวฟันด์แลนด์ ที่นิวฟันด์แลนด์นั้นเองที่เขาเรียกหมาพันธุ์นี้ว่าหมาของเซนต์จอห์น เพื่อให้มันต่างไปจากหมานิวฟันด์แลนด์ที่ตัวโตกว่า ที่เกี่ยวกับลาบราดอร์อยู่ก็คือ เรือประมงที่นำไปถึงอังกฤษเป็นคราวแรกต้นศตวรรษที่ 1800 นั้น มักจะล่องทะเลจับปลาคอดกันตามแนวชายฝั่งทีเปล่าเปลี่ยวทุรกันดารนั้นเอง
สัก 300 ปี ก่อนหน้านี้ ชาวประมงเชื้อชาติบาสก์และโปรตุเกสมักจะตระเวณชายฝั่งของนิวฟันด์แลนด์และลาบลาดอร์อยู่เป็นนิจ เพราะมันว่ายนำ้ได้ทรหดยิ่งนัก ปลาตกจากเรือหรืออวนที่ขาดหรือเชือกโยงขาดจากเรือ มันสามารถไปเก็บเอามาได้ เพราะฉนั้นเรื่องเก็บนกป่า ยามที่กะลาสีขึ้นบกเพื่อล่าสัตว์มาเป็นอาหารจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับมัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ชาวเกาะนิวฟันด์แลนด์จะต้องรักษาพันธุ์วิเศษอย่างนี้ไว้ และการมอบภาระในเรื่องเก็บนกนำ้ยามที่อากาศหนาวร้ายกาจรุนแรง ก็ย่อมจะต้องบำรุงพันธุ์ให้แกร่งกล้าอยู่เป็นธรรมดาเช่นกัน
ในอังกฤษนั้น ความสามารถของลาบลาดอร์เพื่อใช้เก็บนกจึงเป็นที่รู้กันในไม่ช้า และยอมรับนับถืออย่างยิ่งในความจมูกไวยามที่ต้องแกะรอยนกที่บาดเจ็บเช่น ไก่ฟ้า ได้แม่น ทั้งๆ ที่ในดงนั้นมีกลิ่นสัตว์อื่นสารพัด หรือเวลาตามนกเป็ดนำ้ ฝ่าดงกระต่ายป่าอันเป็นงานที่ยากแสนเข็ญมันก็ไม่เคยพลาด
กาลเวลาจะเปลี่ยนมานานสักเท่าใด แต่ความสามารถไม่เคยเปลี่ยน คงฝังอยู่สายเลือดไม่จืดจาง ลาบลาดอร์มีขาที่สั้นกว่าหมาเก็บนกชนิดอื่นๆ แต่รูปร่างลำ่สันบึกบึนกว่า แต่กระนั้นก็คล่องแคล่วว่องไวอย่างยิ่งทั้งบนบกและในนำ้
หมาที่ว่องไวประสาทดีและคุ้นคนชนิดนี้ จะฝึกให้ทำตามสัญญาณที่สลับซับซ้อนด้วยมือก็ได้หรือด้วยเสียงนกหวีดก็ได้ โดยทั่วไปเลี้ยงไว้เพื่อเก็บนกเท่านั้น โดยที่เห็นว่ามันสูงมากไป และตัวก็บึ้กบั้กเกินไปที่จะมุดซุ้มทึบๆ ที่หมาสแปเนียลเท่านั้นที่จะลอดเข้าไปได้ แต่ลาบลาดอร์ก็ยังใช้เป็นหมาคู่ปืนได้โดยทั่วๆไป หากไม่มีพันธุ์พอยน์เตอร์ เซ็ตเตอร์ หรือสแปเนียล
หมาลาบลาดอรืจำได้ง่ายที่ตรงหาง ซึ่งกลมและเรียวออกไปเหมือนหางตัวอ็อตเตอร์หรือนากพันธุ์หนึ่ง ขนเกรียนและดก ไม่อุ้มนำ้แต่เหมือนกับอาบนำ้มัันไว้ เพื่อป้องกันความหนาวได้ดี หิมะหรือโคลน หรือซุ้มก็จับไม่ติด ปกติสีขนมักจะดำ ไม่มีแซมสีอื่นหรือแต้ม นอกจากบางที่ก็เป็นจุดเล็กๆ ที่หน้าอก
สีทั้งตัวที่เป็นสีอื่นก็พอมีบ้างและสีเหลืองกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น หมาพันธ์นี้จะมียีนสำหรับสีเหลือง สีตาก็อาจจะเหลือง นำ้ตาลหรือดำ
สโมสรหมาอังกฤษได้รับรองพันธุ์นี้เป็นคร้ังแรกเมื่อปี 1903 และนับแต่นั้นมาก็มักจะชนะรางวัลในงานโชว์ของสโมสรอยู่เสมอๆ ส่วนในสหรัฐนั้นก็เป็นที่นิยมอย่างยิ่ง และเป็นผู้นำในหมู่รีทรีฟเวอร์ทั้งปวง เป็นเพื่อนพรานปืนโดยแท้ทีเดียว
สูงเพียงไหล่ 21 นิ้ว นำ้หนัก 55-75 ปอนด์

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

รีทรีฟเวอร์ขนเรียบ Flat-Coated Retriever



กลุ่มพันธุ์สปอร์ต รีทรีฟเวอร์ Sporting Group- Retriever

ตามประวัติอ้างไว้หลายแห่งถึงการนำเอาพันธุ์พูเดิลและสแปเนียลของยุโรปมาเก็บนกนำ้ แต่ทุกวันนี้หมาที่เชี่ยวชาญสันทัดมักจะมาจากพวกหมานำ้แห่งนิวฟันด์แลนด์เป็นสวนมาก
รีทีฟเวอร์ขนเรียบก็เช่นกัน สืยเชื้อสายมาจากพันธุ์ลาบราดอร์ มีหลักฐานอยู่ว่าขนที่เรียบและหยักศกน้อยๆ ของมันนั้น ได้เลือดมาจากพันธุ์กอร์ดอนเซ็ตเตอร์หรืออาจจะมาจากพวกไอริชเซ็ตเตอร์ก็ได้เหมือนกัน มาโชว์ตัวในอังกฤษเป็นครั้งแรกที่เมืองเบอร์มิงแฮมเมื่อปี 1860 เจ้าขนเรียบนี้มีคนนิยมอย่างรวดเร็วเป็นหมาทุ่งและหมาโชว์ จนกระทั้งตอนต้นๆ ศตวรรษนี้ ก็มาพ่ายแพ้แก่"เจ้าหยิก" และลาบราดอร์ยุคใหม่
คร้ังหนึ่งมักถูกเรียกว่า "รีทรีฟเวอร์ขนสลวย" แต่ตอนหลังขนชักเหยียดมากเข้าจนมาได้ชื่อดังที่เรียกกันอยู่ขณะนี้ มีผู้เห็นหมาพันธุ์นี้ในอเมริกาอยู่หลายปีแต่ก็ไม่มีใครค่อยสนับสนุนจริงจัง แต่กระนั้นมันก็ยังรักษายี่ห้อของมันไว้ได้เมื่อเทียบกับรีทรีฟเวอร์อื่นๆ และหากถือว่าเป็นหมาเพื่อนคนแล้ว ไม่มีตัวไหนเกินหน้ามันไปได้ เป็นหมาว่ายนำ้แข็ง เป็นหมานำ้โดยธรรมชาติที่ชอบทำงาน ชี้นก เก็บนก และเอามาส่งนายได้อย่างน่ารักที่สุด ครั้งหนึ่งว่ากันว่าเป็นหมาปากแข็ง แต่ทุกวันนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่
ขนของมันแน่น เรียบ ถ้าไม่สีดำก็สีตับ จะมีขนยาวแซมเล็กน้อยที่อก ตานั้นแจ๋วสำแดงท่าที และใหญ่ปานกลาง ได้สัดส่วนพอเหมาะ ไม่ห่างไม่ชิด และสีตาบางทีก็สีนำ้ตาล แต่ต้องไม่อ่อนกว่าสีขน
สูงเพียงไหล่ 21 นิ้ว นำ้หนัก 60-75 ปอนด์

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

รีทรีฟเวอร์ขนหยิก Curly-Coated Retriever


กลุ่มพันธุ์สปอร์ต รีทรีฟเวอร์ Sporting Group- Retriever

เพราะขนขมวดหยิกแข็งไปทั้งตัวตั้งแต่จุกบนหัวไปจนถึงปลายหาง ลักษณะที่เป็นนี้ก็เพราะเอาไปผสมข้ามพันธุ์กันระหว่างเซนต์จอห์นของนิวฟันด์แลนด์ กับไอริช วอเตอร์ สแปเนียล และเลือดทางสายหมาพูเดิลก็ทำให้ขนมันหยิกแน่นเข้าไปอีก เป็นพันธุ์แรกซึ่งจัดเข้าพวกหมาเก็บนกในอังกฤษและเป็นเลือดสำหรับเพาะโดยแท้ตั้งแต่ปี 1855 แล้วมาจำแนกออกไว้ต่างหากอีกในเมืองเบอร์มิงแฮมตอนต้นๆ ปี 1860
ทางสหรัฐมาเห็น "ไอ้หยิก" นี่เข้าเมื่อปี 1907 ก็เลยเอาไปเลี้ยง แต่ก็มีอยู่ไม่มาก ขนที่หยิกนี่แหละที่ช่วยไม่ให้ต้องสะท้านเมื่อโดนหนาวจัดๆ หรือลุยนำ้นานๆ และช่วยให้ทนทานต่อการลุยพงอ้อพงแขมได้ แต่เพราะความหยิกของขนนี้ ที่มักจะติดเอาโคลนตมและกิ่งไม้ติดตัวมาด้วย จึงต้องดูแลกันสักหน่อยในเรื่องนี้ มีสีดำสนิทหรือไม่ก็สีตับ
ในกระบวนหมาเก็บนกด้วยกันแล้ว เจ้าหยิกนี้มีขายาวที่สุดและรูปร่างบางที่สุด แต่มันก็แข็งแรงและว่ายนำ้เป็นว่าเล่น เป็นหมาที่รักนายและไม่ดื้อดึง จึงฝึกง่ายและมีความเพียรเยี่ยงพันธุ์เก็บนกอื่นๆ แล้วยังเป็นเพื่อนคนได้ดีด้วย
สูงเพียงไหล่ 24 นิ้ว นำ้หนัก 65-75 ปอนด์

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เชซาพีก เบย์ รีทรีฟเวอร์ Chesapeake Bay Retriever






กลุ่มพันธุ์สปอร์ต รีทรีฟเวอร์ Sporting Group- Retriver

ปี 1807 เรืออเมริกันชื่อแคนตอน ได้พบเรือใบสองเสาชักธงอังกฤษลำหนึ่งเข้าที่นอกฝั่งแมรีแลนด์ เรืออังกฤษลำนี้มาจากนิวฟันด์แลนด์และถูกพายุกระหนำ่เสียจนออกนอกทิศทางและกำลังจะอับปางลง เรืออเมริกันแคนตอนได้ช่วยทั้งกัปตันและลูกเรือของอังกฤษไว้ได้ และทีช่วยมาได้นั้นมีลูกหมาสองตัวซึ่งมีถิ่นกำเนิดในนิวฟันด์แลนด์มาด้วย ลูกหมาตัวผู้มีตับส่วนตัวเมียมีสีดำ ลูกหมาทั้งสองจึงถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกัน พอโตขึ้นปรากฎว่าทั้งสองตัวนี้เป็นหมาเก็บนกที่เก่งเป็นอย่างยิ่ง เป็นหมาที่เหมาะสำหรับการล่านกเป็ดนำ้ตามแนวชายฝั่งในอ่าวเชซาพีก
หมาทั้งสองตัวนี้เป็นลูกหลานของต้นตระกูลหมาที่ชาวประมงในนิวฟันด์แลนด์นำมาจากแคว้นบาสก์หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในแหลมไอเบอเรียน จากภาพเขียนของเวลาเควซบางรูป ต้นศตววรษที่ 17 มีรูปหมาพันธุ์สเปนบางรูปที่ลักษณะคล้ายหมารีทรีฟเวอร์ของนิวฟันด์แลนด์พันธุ์นี้มากและเป็นรูปที่แสดงการล่านกอีกด้วย
หมาที่อยู่ในเรือกำปั่นสมัยโน้นจะต้องเป็นกะลาสีที่ชำนาญ เพราะต้องต่อสู้ทะเลร้ายและความหนาวเย็นที่สุด ในยามที่เรืออับปางลง ชาวเรือก็เอาเชือกเส้นเบาๆ ผูกมันเข้าไว้ แล้วเรียกมันโจนลงนำ้เข้าหาฝั่งท่ามกลางคลื่นหัวแตกลูกมหึมา ฝ่าหินโสโครกได้ จากพันธุ์ทรหดนี้เอง ลูกหมาสองตัวดังกล่าวตัวหนึ่งชือเซเลอร์ และอีกตัวชื่อแคนตอนได้สืบพันธุ์มา เมื่อเอามาผสมข้ามพันธุ์กับหมาท้องถิ่นแมรีแลนด์เข้าก็ยิ่งทั้งทรหดขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่อลมและนำ้
ปี 1885 พันธุ์นี้ก็เป็นที่เลื่องลือในความสามารถและนำ้ใจอันแกร่ง ทำงานได้ยอดเยี่ยมท่ามกลางที่ลุ่มราบยามฤดูหนาวของอ่าวเชซาพีก เมื่อครั้งกระโน้นอาจจะใช้หมาตัวเดียวเก็บนกเป็ดนำ้ได้มากถึง 200 -300 ตัว ในวันหนึ่งๆ และนับแต่นั้นมาพันธุ์เชซาพีกได้พิสูจน์คุณค่าของมันว่า เป็นหมาเก็บนกทั้งบนเนินและที่ราบลุ่มได้เสมอกัน หมาท้องถิ่นอเมริกันพันธุ์นี้เป็นที่นิยมและหวงแหนกันยิ่งนักในหมู่พรานทั่วสหรัฐและแคนาดา นอกจากนั้นมันยังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาอวดชื่อเสียงของมันในวงการล่าสัตว์ของอังกฤษ
พันธุ์มินิโซตาเชซาพีก เป็นที่ต้องการในอเมริกาตะวันตกตอนกลาง เพราะทะเลสาปอันมากหลายและจำนวนนกนำ้ที่มากมายในถิ่นนั้น เป็นสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมยิ่งนัก สำหรับเพาะและฝึกหมาพันธุ์เก็บนกพันธุืนี้
สีขนของเชซาพีกซึ่งเป็นสีแทนอมแดงหรือสีหญ้าแห้ง ก็นับเป็นลักษณะที่แตะตามากและเข้ากับภูมิประเทศอย่างดีไม่เป็นที่สังเกตได้จากฝูงนกนำ้ที่ระแวงอยู่เป็นนิจ ขนทีชุ่มนำ้มันเป็นเสมือนเกราะกำบังทั้งความหนาวเย็นจากอากาศและนำ้ ขนมีสองชั้น ชั้นนอกเป็นขนเส้นยาวหยาบเพื่อไว้ลุยพงหญ้า พงแขมและหิมะ ส่วนขนชั้นในเป็นขนอ่อนที่หนาทึบเพื่อเก็บความอบอุ่นไว้ในตัว สะบัดตัวเพียงครั้งเดียวก็ส่งนำ้ที่เกราะอยู่ปลิวว่อน และเมื่อเอามือแตะที่ขนของมันดูก็รู้สึกเพียงชื้นนิดๆ แทบไม่รู้สึก มีเท้าเป็นพังผืดระหว่างนิ้ว
หมาเชซาพีกไม่เป็นรองหมาชนิดใดเวลาอยู่ในนำ้ และชอบว่ายนำ้เล่นแม้ในวันที่มีอากาศหนาวที่สุด มันถึงกับขุุดหิมะให้แตกเพื่อแช่นำ้เล่นในยามฤดูร้อน
สูงเพียงไหล่ 23-26 นิ้ว นำ้หนัก 64-75 ปอนด์

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

โกลเดน รีทรีฟเวอร์ Golden Retriver





กลุ่มพันธุ์สปอร์ต รีทีฟเวอร์ Sporting Group- Retriver

ดูจากสีขนที่เหลืองเป็นสีทองไปทั้งตัว ประกอบกับใบหน้ากว้างและดูปราดเปรียวแล้ว ลักษณะทุกอย่างของพันธุ์นี้ส่อให้เห็นถึงทีท่าอันสุภาพเป็นมิตรทั้งสิ้น ใช่ว่าจะสวยแต่รูปความสามารถในท้องทุ่งก็ไม่เบาทีเดียว ทรหดไม่แพ้พันธุ์เก็บนกชนิดอื่นๆ หรือพวกพันธุ์สแปเนียล ในระหว่างฤดูหนาวของแคนาดาซึ่งหนาวมาก มันก็ยังลุยนำ้เก็บนกเป็ดนำ้ได้สบาย
เจ้าสีทองพันธุ์นี้มีลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างทศวรรษที่ 1860 ในอังกฤษแม้ว่าการสืบเชื้อสายของมันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เล่ากันมาว่าท่านเซอร์ดัดเลย์ มาร์ยอรี แบงก์ส ซึ่งต่อมาเป็นลอร์ดทวีดมัธได้เกิดชอบอกชอบใจฝูงหมาฝูงหนึ่งที่พวกนักแสดงชาวรัสเซียเขาเอามาแสดง ก็เลยขอซื้อไว้ทั้งฝูง
หมาสีทองตัวเบ้งๆ เหล่านี้เป็นพันธุ์ที่เลื่องลือกันว่าชอบอิสระและปัญญาไว ซึ่งใช้เลี้ยงแกะกันในแถบคอเคซัส ท่านลอร์ดเห็นว่าตัวมันเบ้งนักก็เลยคิดจะลดขนาดมันลงมา แต่เพิ่มสมรรถภาพในทางดมกลิ่นของมันให้มากขึ้น เลยเอามาผสมกับพวกบลัดฮาวนด์
บ้างก็บอกว่าที่แท้ท่านลอร์ดไปซื้อเอาลูกหมาสีเหลืองๆ ตัวหนึ่งซึ่งเป็นลูกโทนในครอกของหมาพันธุ์เก็บนก สีดำๆ ขนสลวยเป็นลอนๆ มา แล้วต่อมาไปได้ลูกหมาที่หายากอย่างนี้อีกตัวหนึ่ง แล้วก็คัดพันธุ์เพาะมานานหลายชั่วหมา จึงได้พันธุ์นี้ในที่สุด
โกลเดนรีทรีฟเวอร์นี้ปรากฎเป็นครั้งแรกในอเมริกาเมื่อตอนต้นทศวรรษที่ 1900 และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในที่น้ันนับแต่ทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมา
ขนที่ไม่เปียกนำ้หากไม่เหยียดก็เป็นลอน มีสีครีมแถมตามปลายเส้นขนตอนที่เป็นพวง ในฐานะที่เป็นหมาเก็บนกจะเก็บบนบกหรือในนำ้ก็ได้ทั้งนั้น เวลาอยู่บ้านก็เป็นสมาชิกที่ดีตัวหนึ่งในครอบครัว ในกระบวนหมาเก็บนกทั้งปวง เจ้าสีทองพันธุ์นี้มักจะเป็นหมาเลี้ยงในบ้านอยู่เสมอ
สูงเพียงไหล่ 21.5-24 นิ้ว นำ้หนัก 60-75 ปอนด์

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กอร์ดอน เซ็ตเตอร์ Gordon Setter



กลุ่มพันธุ์สปอร์ต เซ็ตเตอร์ Sporting Group- Setter

มีสีดำข้างบนนำ้ตาลเข้มข้างล่างหรือที่เรียกว่า "แบล็ก แอนด์ แทน" เป็นหมาถิ่นสก็อตโดยกำเนิด หน้าตาดี ขยันขันแข็ง และติดนาย มีไหวพริบในเรื่องนกดีมากและจำแม่น เวลาเดินหานกในทุ่งโดยกวัดหางไปเรื่อยๆ
ร่วมสองศตวรรษมาแล้วที่ ท่านดุ๊กแห่งกอร์ดอนได้นำพันธุ์นี้ผสมเข้ากับพันธุ์คอลลี่สีแบล็ก แอนด์ แทน จะเป็นเพราะผสมกันเข้าครั้งนั้น หรือจะเป็นเพราะพันธุ์เดิมสีดำปนนำ้ตาล ซึ่งพัฒนามาแต่ต้นศตวรรษ 1620 หมากอร์ดอนเซ็ตเตอร์ก็เลยเป็นหมาล่านกเกราส์แดงตามเขาได้ดีเยี่ยม
ในปี 1842 นายยอร์ช บลันท์ ได้นำหมาชื่อเรกและราเชล ที่เพาะขึ้นที่ปราสาทกอร์ดอนไปอเมริกาด้วย สองตัวนี้มีสีขาวแต้มแบ็ลก แอนด์ แทน ผิดกับหมาพันธุ์กอร์ดอนในทุกวันนี้ที่สีดำเป็นสีถ่านหินตัดกับสีแทน
ในกลางทศวรรษที่ 1980 กอร์ดอนเซ็ตเตอร์ที่ตัวย่อมกว่า รูปร่างดีกว่า ก็มาถึงสหรัฐ คล่องแคล่วกว่าแบบเดิม และเป็นหมาล่านกชั้นดีพอๆ กับเป็นหมาโชว์ เป็นหมาที่ค่อนข้างช้าแต่แม่น รกเท่าไหร่ทึบเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง และดีเป็นพิเศษสำหรับไล่นกเกราส์และนกปากซ่อมดง ทั้งจมูกและสมองมันก็แม่น ฝึกหัดให้เก็บนกก็ง่าย นักเพาะหมาพยายามจะเพาะให้มันมีกำลังทำงานได้ไกลๆ และหานกเก่งเหมือนเดิม
ที่น่ารักที่สุดของมันคือเรื่องความรักนาย เป็นคุณสมบัติที่ทำให้มันเป็นหมาประจำปืนเป็นอย่างดีเท่าๆ กับเป็นหมาเลี้ยงในบ้านที่คอยเอาใจนายอยู่เป็นนิจ กับเด็กก็เข้ากันได้ดี แต่กับหมาอื่นที่บุกรุกเข้ามานั้นจะฟัดแหลกเพราะมันจะปกป้องคนในบ้านอย่างหวงแหน
ตัวหนักกว่าเซ็ตเตอร์อีกสองพันธุ์ รูปร่างค่อนไปทางอิงลิชเซ็ตเตอร์ หน้าผากกว้าง อกนูนลึก กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แกร่งทั้งกระดูกและจิตใจทรหด มีแต้มสีแทนบนขนสีดำที่ เหนือลูกตาตรงข้างคิ้ว ตรงสันใบหู ที่หน้าอก ที่ท้อง ที่ขา และตามขนอ่อน
สูงเพียงไหล่ 23-27 นิ้ว นำ้หนัก 45-75 ปอนด์